25 ก.ย. 2554

Data Definition Language (DDL)


เป็นภาษาที่ใช้นิยามโครงสร้างข้อมูล เพื่อเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกโครงสร้างฐานข้อมูลตามที่ออกแบบไว้ โครงสร้างดังกล่าวคือ สคีมา (Schema) นั้นเอง
 ตัวอย่างเช่น
การกำ หนดให้ฐานข้อมูลประกอบด้วยตารางอะไรบ้าง ชื่ออะไร ประเภทใด มีอินเด็กซ์ (Index)
เอกสารประกอบการบรรยายวิชา 204204 การออกแบบและพัฒนาฐานข้อมูล 8 - 2
ภาษา DDLประกอบด้วย 3 คำ สั่งคือ

1.คำสั่งการสร้าง (Create) ได้แก่ การสร้างตารางและอินเด็กซ์
CREATE TABLE
( Attribute 1 Type 1,
Attribute 2 Type 2 ,)
CREATE Unique Index on X

เช่น
CREATE TABLE S11
(SNO CHAR(5) Not NULL,
SNAME CHAR(10) ,
STATUS integer)
CREATE Unique Index XS11 on S11(SNO)

2.คำสั่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
ALTER TABLE < ชื่อตารางที่ตั้งขึ้น >
<คำ สั่งการเปลี่ยนแปลง> (<ชื่อคอลัมน์ ประเภทข้อมูล>);
ตัวอย่างเช่น
ALTER TABLE SUPPLIER
ADD (LAST_SNAME Char(10));

3.คำสั่งยกเลิก (Drop) ต่างๆ
การลบโครงสร้างตาราง
DROP TABLE < ชื่อตารางที่ตั้งขึ้น >


ภาษาดังกล่าวคือ ภาษาที่ใช้สร้างฐานข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ หลังจากที่เราได้ออกแบบแล้วว่าฐานข้อมูลมีกี่รีเลชั่น แต่ละรีเลชั่นมีความสัมพันธ์อย่างไร จากนั้นการใช้ภาษา DDL นี้แปลงรีเลชั่น
ต่างๆ ให้อยู่ในรูปภาษาสำ หรับนิยามข้อมูล เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่แท้จริง
ให้เกิดขึ้นในคอมพิวเตอร์ ภาษา DDL สามารถสรุปคำ สั่งต่างๆได้ดังตอไปนี้
CREATE TABLE = นิยามโครงสร้างข้อมูลในรูปตารางบนฐานข้อมูล
DROP TABLE = ลบโครงสร้างตารางข้อมูลออกจากระบบ
ALTER TABLE = แก้ไขปรับปรุงโครงสร้างตาราง


CREATE INDEX = สร้างดัชนีของตาราง
DROP INDEX = ลบ ดัชนีของตารางออกจากระบบ
CREATE VIEW = กำ หนดโครงสร้างวิวของผู้ใช้
DROP VIEW =ลบโครงสร้างวิวออกจากระบบ

-คำสั่งนิยามโครงสร้างตาราง
การสร้างตารางใน ฐานข้อมูลแบบรีเลชั่นเนล โดยเฉพาะฐานข้อมูลขนาดใหญ่บนระบบ
UNIX จะทำ ด้วยการป้อนคำ สั่งในลักษณะเท็กซ์โหมด (Text Mode) เข้าไปในระบบฐานข้อมูล ดังรูป
แบบต่อไปนี้
CREATE TABLE <ชื่อตาราง>
(<ชื่อคอลัมน์ ประเภทของข้อมูล>[,<ชื่อคอลัมน์ ประเภทของข้อมูล>]....);
- ประเภทของข้อมูล
ประเภทของข้อมูลแบ่งเป็น 5 ประเภทใหญ่ๆ ขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ระบบฐานข้อมูลที่ใช้
ว่าคืออะไร ตัวอย่างเช่น CHAR, INTEGER, DATE ฯลฯ
คำ สั่งการลบโครงสร้างตาราง
DROP TABLE <ชื่อตารางที่ต้องการลบ>
คำ สั่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตาราง
ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตารางที่เคยนิยามไว้ สามารถใช้คำ สั่งต่อไปนี้
ALTER TABLE <ชื่อตารางที่ต้องการเปลี่ยนแปลง>
<คำ สั่งการเปลี่ยนแปลง><[,<ชื่อคอลัมน์ ประเภทของข้อมูล>]>คำสั่งดัชนี
ดัชนี ( INDEX ) มีความสำ คัญมากต่อฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เนื่องจาก ระบบฐาน
ข้อมูลแบบรีเลชั่นเนล (RDBMS) จะใช้ดัชนีในการค้นหาระเบียนที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยดัชนีที่
ถูกสร้างขึ้น จะเก็บไว้แยกจากตารางในพื้นที่ต่างหาดของคอมพิวเตอร์ โดยปกติ ถ้าไม่มีการประกาศ
ดัชนี ไว้การค้นหาข้อมูลในตาราง นั้นจะต้องทำ แบบเรียงลำ ดับจากแถวที่หนึ่งจนถึงแถวสุดท้าย การ
สร้างดัชนีสำ หรับตารางใดๆ จะทำ ได้โดยการเลือกคอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่งจากตารางมาเป็นดัชนี และตา
รางหนึ่งๆ สามารถมีได้หลายดัชนี นอกจากเพิ่มความรวดเร็วในการดึงข้อมูลแล้ว ยังสามารถนำ ไปใช้ในการควบคุมคอลัมน์ที่นำ มาสร้างเป็นดัชนีให้มีการเก็บข้อมูลที่ไม่ซำ้กัน(Unique) อีกด้วย

การสร้างดัชนีจะใช้คำ สั่ง CREATE INDEX แล้วตามด้วยชื่อดัชนีที่เราตั้งขึ้น ดังรูปแบบ
ต่อไปนี้
CREATE [UNIQUE] INDEX < ชื่อตารางที่ตั้งขึ้น >
ON (<ชื่อตารางที่สร้างดัชนี> (< ชื่อคอลัมน์ 1> [,< ชื่อคอลัมน์ 2>]…);
การลบดัชนี
เมื่อต้องการลบดัชนีที่สร้างขึ้น ก็สามารถทำ ได้ด้วยคำ สั่ง DROP INDEX แล้วตามด้วย
ชื่อดัชนีที่ต้องการลบ ดังรูปแบบดังนี้DROP INDEX <ชื่อดัชนี>

24 ก.ย. 2554

Data Manipulation Language(DML )

DML
  เป็นภาษาใช้สำหรับจัดการข้อมูลภายในฐานข้อมูล ได้แก่การเรียกค้น เพิ่ม ลบ และปรับปรุงฐานข้อมูล ภาษาจัดการข้อมูล (DML) มี ประเภทหลักๆ คือเป็นภาษาที่ผู้ใช้กำหนดโครงสร้างหรือแบบแผนในการเก็บข้อมูล เช่น กำหนดหัวข้อและลักษณะของคอลัมน์ของตารางต่าง ๆ ที่จะใช้บันทึกข้อมูล ภาษากำหนดข้อมูล จะทำให้เกิดตารางที่จะจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญต่อการทำงานของ DBMS ขึ้นมาชุดหนึ่ง ตารางนี้มีชื่อว่า พจนานุกรมข้อมูล (data dictionary) ซึ่งระบบจัดการฐานข้อมูลจะอาศัยโครงสร้างจากแฟ้มข้อมูลนี้เสมอ เช่น ดัชนี (index) ต่าง ๆ เป็นต้น
การเรียกดูข้อมูลออกจากฐานข้อมูลจะต้องผ่านคำสั่งหรือข้อความของภาษาจัดการข้อมูลหาข้อความ ซึ่งกลุ่มของข้อความเหล่านั้นมีลักษณะเป็นการถามระบบข้อมูลเพื่อให้ระบบจัดการฐานข้อมูลหาคำตอบจากข้อมูลที่เก็บไว้และตอบกลับมา กลุ่มของข้อความเหล่านั้นเรียกว่า ภาษาคำถาม (query language) แต่โดยทั่วไปแล้วคำว่า DML และ ภาษาคำถาม จะใช้แทนกันเสมอ
เช่น
SELECT EMPLOYEE-NAME
FROM EMPLOYEE-FILE
WHERE SEX = “FEMALE” AND SALARY GREATER THAN 5000
เป็นการไปเรียกดูข้อมูลชื่อของลูกจ้างที่เป็นผู้หญิงและมีเงินเดือนมากกว่า 5,000 จากฐานข้อมูลชื่อ EMPLOYEE-FILE
ที่มา: ttp://sot.swu.ac.th/CP342/lesson01/ms3t3.htm

คำสั่งในกลุ่ม Data Control Language (DCL)


เป็นคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดสิทธิของผู้ใช้ในการเข้าถึงทรัพยากรของระบบฐานข้อมูล เช่น ตาราง ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูลจะใช้คำสั่งในกลุ่มนี้กำหนดสิทธิให้กับผู้ใช้แต่ละคน หรือผู้ใช้จะกำหนดสิทธิเพื่ออนุญาตให้ผู้อื่นมาใช้ทรัพยากรที่ตนเองเป็นเจ้าของได้
คำสั่งที่ใช้กำหนดสิทธิในการใช้งานมี 2 คำสั่ง ได้แก่
1. คำสั่ง GRANT      เป็นคำสั่งที่ใช้กำหนดสิทธิให้กับผู้ใช้คนอื่นเพื่อให้สามารถใช้งานทรัพยากรที่จำเป็นได้
2. คำสั่ง REVOKE     เป็นคำสั่งที่ใช้ยกเลิกหรือเรียกคืนสิทธิที่เคยให้ไว้ ทำให้ผู้ใช้ที่ถูกยกเลิกสิทธิ    ไม่สามารถใช้งานทรัพยากรเดิมได้อีกต่อไป

หมายเหตุ :  คำสั่ง GRANT และ REVOKE จะใช้ได้ในระบบฐานข้อมูลที่รองรับผู้ใช้งานหลายคนเท่านั้น สำหรับระบบฐานข้อมูลเล็กๆ ที่ใช้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป อย่างเช่น MS Access จะไม่สามารถใช้งานคำสั่งกลุ่มนี้ได้
การใช้คำสั่งควบคุมในระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL

การกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล
สำหรับการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลในระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL สามารถกระทำผ่านสคริปต์ phpMyAdmin ได้    คำสั่งที่ใช้ในการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้ใช้แต่ละคนมีรูปแบบเป็นดังนี้


โดย  GRANT   คือ  คำสั่งที่ให้สิทธิในการใช้งานข้อมูล
            privileges คือ สิทธิที่ต้องการอนุญาตให้ใช้งานซึ่งแบ่งออกเป็นหลายระดับ
 db_name.object   เป็นชื่อตารางหรือชื่อวิว  แต่ถ้าหากต้องการกำหนดสิทธินั้นๆในทุกตารางที่มีในฐานข้อมูลที่กำหนด ให้ใช้  “db_name.* ” หรือถ้าต้องการให้เข้าถึงข้อมูลในทุกๆฐานข้อมูลและทุกตารางให้ใช้   “ *.* ”
            user_name      เป็นชื่อผู้ใช้ที่ต้องการให้สิทธินั้น
ตัวอย่าง   ต้องการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล  registration   ให้กับอาจารย์วิทยา  มนัสวงค์   โดยอาจารย์วิทยา  สามารถเรียกดูข้อมูล  และปรับปรุงข้อมูลในตารางต่างๆ ได้  ใช้คำสั่งดังนี้
ตัวอย่าง   กำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล  registration ที่ตาราง STUDENT แก่ Chumphon  โดยสามารถใช้สิทธิได้ทั้งหมด   ใช้คำสั่งดังนี้







4 ก.ย. 2554

ปฏิบัติการที่ 6 การจัดการฐานข้อมุลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

h : จากข้อ e เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์จะได้ว่า "ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต อาจารย์ที่ปรึกษา และชั้น จากตารางนักเรียน(student) โดยมีเงือนไขคือเป็นนิสิตชั้นปีที่2" ให้ลองแปลข้อ ออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์
ตอบ ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต อาจารย์ที่ปรึกษา ชั้น และงานอดิเรก จากตารางนักเรียน(student)โดยมีเงือนไขคือ ตารางงานอดิเรกโดยมี คำว่า อ่าน
ดังรูป
I : ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษา SQL ตามคำถาม "ให้เลือกฟิลด์ทั้งหมดจากตารางรายวิชา(subject)
ตอบ สืบค้นด้วย SELECT subjectid, Name, Credit, Book, Teacher
                            
FROM subject;
ดังรูป
j: ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษา SQL ตามคำถาม "ให้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา และจำนวนหน่วยกิต จากตารางรายวิชา(subject)"
ตอบ สืบค้นด้วย SELECT subjectid,Name,Credit
            FROM subject;
ดังรูป
k:ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษาSQLตามคำถาม"ใฟ้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา และจำนวนหน่วยกิต จากตารางรายวิชา(subject) โดยมีเงือนไขคือเป็นรายวิชา 104111"
ตอบ สืบค้นด้วย  SELECT subjectid,Name,Credit
                       FROM subject
                       WHERE subjectid=104111;
ดังรูป
O : จากข้อ m เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์จะได้ว่า "ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียน(student) การลงทะเบียน(Register) และรายวิชา(Subject) โดยมีเงือนไขคือแสดงเฉพาะนิสิตรหัส 4902 เท่านั้น ให้ลองแปล n ออกมาเป็นภาษาคำถามของมนุษย์
ตอบ ให้เลือกแสดงฟิลด์ รหัสนิสิต ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียนstudent การลงทะเบียนจากตารางRegister และรายวิชาจากตารางSubject โดยมีเงือนไขคือ แสดงรหัสรายวิชา104111 เท่านั้น

p : ให้นิสิตสืบค้นข้อมูลด้วยภาษา SQL ตามคำถาม "ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียน(Student)การลงทะเบียน(Register) และรายวิชา(Subject) โดยมีเงือนไขคือแสดงเฉพาะรายวิชารหัส 104111เท่านั้น และนิสิตอยู่ในชมรมภูมิศาสตร์เท่านั้น"
ตอบ สืบค้นโดย
SELECT Student.Studentid,student.Name,Register.Score,Register.Grade,Subject.Name ,student.Club
 FROM Register,student,Subject
WHERERegister.Studentid=student.StudentidANDRegister.Subjectid=Subject.SubjectidAND   Register.Subjectid=104111  AND student.Club='ภูมิศาสตร์';

ดังรูป











20 ก.ค. 2554

Hierarchical data model

ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model)
                การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล
               
ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จำกัด ในปี 1980 ได้รับความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้ โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to -Many) ดังรูป แสดงโครงสร้างลำดับขั้นของผู้สอนทักษะผู้สอน หลักสูตรที่สอน



 แสดงโครงสร้างลำดับขั้นของผู้สอน ทักษะผู้สอน หลักสูตรที่สอน

    แสดงส่วนประกอบของระบบจัดการฐานข้อมูล (Elements of a database management systems) ข้อดีและข้อเสียของระบบการจัดการฐานข้อมูล ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียในการที่องค์การจะนำระบบนี้มาใช้กับหน่วยงาของตนโดยเฉพาะหน่วยงานที่เคยใช้คอมพิวเตอร์แล้วแต่ได้จัดแฟ้มแบบดั้งเดิม (Convention File) การที่จะแปลงระบบเดิมให้เป็นระบบใหม่จะทำได้ยากและไม่สมบูรณ์ ไม่คุ้มกับการลงทุน ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่าในการพัฒนาฐานข้อมูลจะต้องประกอบด้วย
วิธีการจัดแบบลำดับขั้นเป็นการจัดกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและกำหนดให้เป็นเซ็กเมนต์ (Segment) โดยมีการแยกประเภทของเซ็กเมนต์ว่าเป็นเซ็กเมนต์ราก (Root segment) หรือ เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง(Dependent segment) แสดงถึงฐานข้อมูลของฝ่ายที่มีการเปิดอบรมของบริษัทหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบลำดับขั้น เซ็กเมนต์ที่เป็นราก คือ ชื่อฝ่าย (Department name) โดยมีเซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง 2 เซ็กเมนต์คือ เซ็กเม็นผู้สอน(Instructor) และหลักสูตร (Course) สำหรับเซ็กเมนต์ผู้สอนก็จะมีตัวพึ่งอีก 1 เซ็กเมนต์ คือ เซ็กเมนต์ความชำนาญ(Skill) ส่วนเซ็กเมนต์หลักสูตรก็จะมีตัวพึ่งเป็นเซ็กเมนต์เปิดสอนโดยและเข้าเซ็กเมนต์สุดท้ายก็คือเซ็กเมนต์ผู้เรียนซึ่งเป็นตัวพึ่งของเซ็กเมนต์เปิดสอนโดย
การติดต่อของข้อมูลแบบลำดับขั้นจำเป้นจะต้องอาศัยตัวชี้ (Pointer) ซึ่งสามารถแบ่งตัวชี้ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ตัวชี้เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง (Child Pointer)
2. ตัวชี้เซ็กเมนต์ระดับเดียวกัน (Twin Pointer)
ข้อดีและข้อเสีย
                สามารถสร้างความสัมพันธ์ให้เด่นชัดของข้อมูลแต่ละลำดับว่าข้อมูลเป็นเซ็กเมนต์ราก หรือเป็นพ่อแม่(Parent) และข้อมูลเป็นเซ็กเมนต์ตัวพึ่งหรือตัวลูก (Child) ส่วนข้อเสีย โครงสร้างแบบนี้มีความคล่องตัวน้อย เพราะต้องเริ่มอ่านจากเซ็กเมนต์ที่เป็นรากก่อน นอกจากนั้นการออกแบบฐาน ข้อมูลต้องระมัดระวังการซ้ำซ้อนของข้อมูล

ที่มา : http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Knowledge/Database/database4.htm 

SQL

เอสคิวแอล (SQL)
เอสคิวแอล (SQL) คือ ภาษาสอบถามข้อมูล หรือภาษาจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง มีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมฐานข้อมูลที่รองรับมากมาย เพราะจัดการข้อมูลได้ง่าย เช่น MySQL, MsSQL, PostgreSQL หรือ MS Access เป็นต้น สำหรับโปรแกรมฐานข้อมูลที่ได้รับความนิยมคือ MySQL เป็น Open Source ที่ใช้งานได้ทั้งใน Linux และ Windows
SQL เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เพื่อจัดการกับฐานข้อมูลโดยเฉพาะ เราสามารถแบ่งการทำงานได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.     Select query ใช้สำหรับดึงข้อมูลที่ต้องการ
2.
Update query ใช้สำหรับแก้ไขข้อมูล
3.
Insert query ใช้สำหรับการเพิ่มข้อมูล
4.
Delete query ใช้สำหรับลบข้อมูลออกไป

Select query
ใช้ในการดึงข้อมูลในฐานข้อมูล จะมีการค้นหารายการจากตารางในฐานข้อมูล ตั้งแต่หนึ่งตารางขึ้นไป ตามเงื่อนไขที่สั่ง ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเซตของข้อมูลที่สามารถสร้าง เป็นตารางใหม่ หรือใช้แสดงออกมาทางจอภาพเท่านั้น  โดยมีรูปแบบดังนี้ Select รายละเอียดที่เลือก From ตารางแหล่งที่มา Where กำหนดเงื่อนไขฐานข้อมูลที่เลือก Group by ชื่อคอลัมน์

Update query
ใช้สำหรับการแก้ไขข้อมูลในตาราง โดยแก้ในคอลัมน์ที่มีค่าตรงตามเงื่อนไข มีรูปแบบดังนี้
Update ชื่อตาราง Set [ชื่อคอลัมน์=ค่าที่จะใส่เข้าไปในคอลัมน์นั้น ] Where เงื่อนไข
ตัวอย่างเช่น  จากตารางแสดงรายชื่อนักศึกษากรณีที่นักศึกษาชื่อ สมบัติ มักน้อย ย้ายโปรแกรมวิชา จาก สังคมศึกษา ไปเป็นภาษาไทย เราใช้คำสั่งดังนี้
Select stdinfo Set programe=’ภาษาไทย’ Where Fname=’สมบัติ’ and Lname=’มักน้อย

Insert query
ใช้ในการเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ เข้าไปในฐานข้อมูล มีรูปแบบดังนี้
Insert Into ชื่อตาราง [=ชื่อคอลัมน์1,2..] Values [ค่าที่จะใส่ลงในคอลัมน์ 1,2…]
ตัวอย่างเช่น ต้องการเพิ่มรายชื่อนักศึกษา ที่มีรหัสประจำตัวเป็น 007 ชื่อ กมลวรรณ ศิริกุล โปรแกรมวิชา วิทยาศาสตร์ เราสามารถใช้คำสั่งดังนี้
Insert into stdinfo (id,fname,lname,programe) Values (‘007’,’กมลวรรณ’,’ศิริกุล’,’ วิทยาศาสตร์’)

Delete query
ใช้ลบข้อมูลออกจากตาราง มีรูปแบบดังนี้
Delete From ชื่อตาราง Where เงื่อนไข
ตัวอย่างเช่น ต้องการลบรหัสประจำตัวนักศึกษา 005 ออกจากฐานข้อมูล เราใช้คำสั่งดังนี้
Delete From stdinfo Where id=’005