27 ก.พ. 2555

การตั้งราคาที่ดิน

ที่ดิน อยู่ในซอย กว้าง กี่เมตร

ลักษณะรูปของที่ดิน เป็นอย่างไร เช่นติดถนนซอย กี่เมตร ลึกเท่าไร

บริเวณใกล้เคียง เป็น  สภาพ เป็นอย่างไร เช่นเป็นบ้านพักอาศัย เก่า

สามารถ ปลูกเป็นอาคารสูงได้หรือไม่

ก็ดูจากความกว้างของถนนซอย  มันมีเกณฑ์ของมันอยู่

ถ้าซอยแคบ  ก็ต้องเว้นระยะ  ไม่สามารถ สร้างติด ถนนซอยได้



Tip  : ถ้าทำตึกสูงได้  ก็จะมีราคาเพิ่มมากขึ้น การตั้งราคาจะดูจากราคาประเมินของกรมที่ดินอย่างเดียวไม่ได้  เพราะกรมที่ดินให้เกณฑ์หยาบๆ ไม่ได้เจาะรายละเอียดเช่น วัดจากถนนใหญ่ เข้ามากี่เมตร ต้องดูว่าในบริเวณนี้เคยซื้อขายราคาเท่าไร ควรเปรียบเทียบ ประมาณ 2-3 รายตั้งราคา ควรเป็นตารางวา 


ที่มา : http://italkproperty.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/
ปัจจัยที่ทำให้ที่ดินมีราคาสูงต่ำ
ราคาที่ดินนั้น มีขึ้นมีลง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นก็จะอยูในขาขึ้นเป็นส่วนมาก ทั้งนี้วันนี้เรามาดูกันคราวๆ ดีกว่าว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นหรือต่ำลงกันบ้าง

ลักษณะของที่ดิน

ที่ดินมีขนาดเท่ากัน อยู่ใกล้กัน แต่อีกทีหนึ่งกลับแพงกว่าอีกที่หนึ่งมาก อาจจะเป็นเพราะที่ดินมีขนาดหน้ากว้างตินถนนที่ไม่เท่ากัน หรือ มีรูปลักษณะทีเอื้อต่อการใช้ทำประโยชน์ ไม่เหมือนกัน เช่น ที่ดินผืนหนึ่งแคบแต่ยาว ส่วนที่ดินอีกผืนหนึ่งมีความกว้างและความยาวที่พอดี เป็นต้น

ขนาดของที่ดิน

โดย ส่วนใหญ่แล้ว ที่ดินที่มีขนาดใหญ่มากจะมีราคาต่อหน่วยที่ต่ำกว่า แต่จะมีสภาพคล่องที่ต่ำ ไมเหมือนกับที่ดินผืนเล็ก ที่มีราคาต่อหน่วยสูงกว่า แต่สามารถซื้อขายได้คล่องตัวกว่า ดังนั้น ผู้ที่มีที่ดินผืนใหญ่จึงมักจะซอยแบ่งออกเป็นผืนเล็กเพื่อขายทำกำไร

การปรับปรุงที่ดิน

ที่ดินที่รกร้าง ย่อมจะมีราคาต่ำกว่า ที่ดินที่ได้รับการดูแลอย่างดี เช่น มีการถมดินแล้ว มีปลูกสนามหญ้า มีทำการเกษตร เป็นต้น

 สิ่งแวดล้อม

หากเป็นที่ดินที่อยู่ใกล้แหล่งเสื่อมโทรมหรือแหล่งที่ไม่น่าอภิรมย์ เช่น แหล่งน้ำเสีย แหล่งเก็บขยะ โรงฆ่าสัตว์ หรือ ป่าช้า ย่อมจะทำให้ที่ดินมีราคาตกลงไปมาก แต่หากอยู่ใกล้แหล่งที่เจริญเช่น ศูนย์การค้า ศูนย์คมนาคมขนส่ง และโรงงานอุตสาหกรรม (ที่ไม่ก่อมลพิษ) ย่อมจะมีราคาที่สูงขึ้นได้

 ทำเลที่ตั้งและความนิยม

หากผู้ซื้อต้องการหาที่ดินเพื่อทำกิจการค้าขาย ย่อมจะชอบอยู่ในย่านการค้า และ หากผู้ซื้อต้องการซื้อที่ดินเพื่อทำโรงงาน ก็ย่อมต้องการที่ดินซึ่งอยู่ในย่านโรงงานหรือย่านอุตสาหกรรม ดังนั้นที่ดินที่อยู่ในย่านที่ได้รับความนิยมย่อมจะมีราคาสูงกว่าย่านที่ไม่ได้รับความนิยม

 การคมนาคม

ที่ดินซื่งตั้งอยู่ในที่่สะดวกต่อการคมนาคม ย่อมมีราคาสูงกว่า ที่ดินที่ห่างไกลความเจริญและไม่สะดวกต่อการคมนาคมหรือการเดินทาง

 สาธารณูปโภค

ที่ดินซึ่งมีสาถารณูปโภคเข้าถึงแล้ว เช่น โทรศัพท์ ประปา ไฟฟ้า ย่อมจะมีราคาสูงกว่าที่ซื่งยังไม่มีสิ่งเหล่านี้

หลักฐานการรับรองสิทธิ

หากมีเอกสารสิทธิประเภท นส.3 หรือ สค 1. ย่อมจะขายที่ดินได้ราคาต่ำกว่าการมีเอกสารสิทธิที่เป็นโฉนด

ภาระติดพันของที่ดิน

ที่ดินที่มีภาระติดพัน อันเป็นอุปสรรคต่อการนำมาใช้ทำประโยชน์ ย่อมจะทำให้ราคานั้นตกต่ำลงได้

เขตเวนคืนหรือเขตหวงห้าม

หาก เป็นที่ซื่งจะถูกเวนคืน ราคาย่อมตกต่ำลง และ หากเป็นที่ซึ่งอยู่ในเขตหวงห้าม ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างหรือทำประโยชน์ได้จำกัดอย่างมาก ราคาก็ย่อมตกต่ำลง เช่นกัน

การใช้ประโยชน์ของที่ดิน

กฎหมายผังเมืองทำให้ที่ดินแต่ละที่ไม่สามารถใช้สร้างสิ่งต่างๆ ได้เหมือนกัน หรือ ตำแหน่งของที่ดินอาจจะไม่เอื้อต่อการใช้สอยพิเศษ เช่น ไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้ ย่อมจะทำให้ที่ดินมีราคาต่ำกว่าที่ใกล้กันซึ่งสามารถสร้างอาคารสูงได้ เป็นต้น

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นปัจจัยพื้นฐานหลักๆ ที่มีผลต่อการขึ้นลงของที่ดิน แต่ในความเป็นจริง ยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่ต้องคำนึง เพราะจะมีผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาที่ดิน และในโอกาสหน้า จะนำประเด็นต่างๆ มาเสนอให้รับรู้กันต่อไป อย่างไรก็ตาม หวังว่าความรู้ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์มากพอสมควรสำหรับผู้อ่านหลายๆ ท่านที่ยังไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้


ที่มา : http://italkproperty.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/
ทำเลยังเป็นปัจจัยหลักสำหรับนักลงทุนอสังหาฯ



จากการเปิดเผยของ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เกี่ยวกับภาพรวมตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครในปีพ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา พบว่า มีการซื้อขายอาคารสำนักงานหลายแห่งด้วยกัน นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหารและหัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดินของซีบี ริชาร์ด เอลลิส เชื่อว่า ในปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการซื้อขายอาคารสำนักงานมากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารวมกัน โดยแผนกการลงทุนและที่ดินของซีบี ริชาร์ด เอลลิส สามารถปิดการขายอาคารสำนักงานไปทั้งสิ้น 6 แห่ง ซึ่งมีมูลค่ารวมมากกว่า 5.6 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2553 โดยมีการซื้อขายหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การลงทุนซื้ออาคารสำนักงานแบบมีกรรมสิทธิ์สมบูรณ์และแบบเช่าระยะยาวที่มีผู้เช่าอยู่แล้ว ไปจนถึงการขายอาคารสำนักงานเปล่าแบบไม่มีผู้เช่าทั้งอาคาร เนื่องจากเจ้าของตัดสินใจที่จะขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของตนเอง

บรรยากาศการลงทุนโดยรวมในปี พ.ศ. 2553 เป็นไปในเชิงบวก เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญนับจากปี พ.ศ.2552 ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายหรือเปลี่ยนมือน้อยมาก ในปีที่แล้ว มีการซื้อขายที่ดินหลายแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และที่ดินในย่านใจกลางถนนวิทยุและเพลินจิตก็มีราคาซื้อขายที่สูงเกินกว่า 1 ล้านบาทต่อตารางวา ทั้งนี้ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส เอง มีธุรกรรมการซื้อขายที่ดินรวมมูลค่าสูงเกินกว่า 1.5 พันล้านบาท โดยซีบี ริชาร์ด เอลลิส ดูแลธุรกรรมการซื้อขายที่ดินให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของไทยหลายรายด้วยกัน อาทิ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ เป็นต้น

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ได้มุ่งเน้นแต่เพียงทำเลที่เป็นที่รู้จักในกรุงเทพฯ หรือแปลงที่ดินที่ใกล้กับระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจแปลงที่ดินที่ตั้งอยู่ใกล้กับส่วนต่อขยายของระบบขนส่งมวลชนด้วย รวมทั้งทำเลในเมืองที่ยังไม่ค่อยมีการพัฒนามากนัก เช่น บริเวณถนนพระราม 4 ถนนเพชรบุรี และถนนสี่พระยา นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักลงทุนรายบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมองหาที่ดินขนาด 12 ไร่ ในย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ

นางกุลวดียืนยันว่า ความสนใจของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อแปลงที่ดินที่อยู่ในทำเลที่ดียังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะในย่านใจกลางกรุงเทพฯ และตลอดเส้นทางตามแนวระบบขนส่งมวลชน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่มองหาแปลงที่ดิน เพื่อการพัฒนาคอนโดมิเนียม ยังคงมุ่งให้ความสนใจไปที่แปลงที่ดินที่อยู่ติดหรือใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่วงระหว่างสถานีอารีย์ จนถึงสถานีช่องนนทรี (สายสีเขียวอ่อน) และช่วงระหว่างสถานีสนามกีฬาแห่งชาติจนถึงสถานีเอกมัย (สายสีเขียวเข้ม) นอกจากนี้ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังนำวิธีการใกล้เคียงกันมาใช้ในการพิจารณาซื้อแปลงที่ดินที่ตั้งอยู่เลียบเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงที่ดินที่ตั้งอยู่ใกล้กับส่วนต่อขยายของทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งหลายบริษัทได้เข้าซื้อที่ดินในทำเลดังกล่าวไปแล้วหลายแปลงด้วยกัน


แม้ว่าทำเลใหม่ ๆ หลายแห่งตลอดแนวส่วนต่อขยายของทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดินจะยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการบางรายเริ่มเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในทำเลดังกล่าว

ภาพรวมในปี พ.ศ. 2554 ซีบี ริชาร์ด เอลลิส คาดว่า จะเป็นเป็นไปในทิศทางบวก และเห็นถึงความต้องการปริมาณมากจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท นอกจากนี้ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ยังคาดว่า นักลงทุนจะยังคงให้ความสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง และผู้ประกอบการจะจำกัดทำเลในการมองหาแปลงที่ดินที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ โดยมุ่งไปที่แปลงที่ดินในย่านที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ทำเลในย่านใจกลางเมืองที่มักได้รับความนิยมในการพัฒนาโครงการประเภทต่าง ๆ และมีปริมาณความต้องการอยู่มาก ได้แก่ ถนนวิทยุ ถนนเพลินจิต ถนนสุขุมวิท ถนนพระราม 1 ถนนราชดำริ และถนนสาทร เนื่องจากทำเลเหล่านี้เหมาะสำหรับการพัฒนาเป็นทั้งโครงการที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม และค้าปลีก โดยปกติแล้ว ขนาดแปลงที่ดินที่เหมาะสมที่สุด คือ ขนาดระหว่าง 25 ไร่ เพื่อให้สามารถพัฒนาเป็นโครงการแนวสูงได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าโครงการจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะพัฒนาให้เสร็จได้ในเฟสเดียว

นางกุลวดี คาดว่า มูลค่าที่ดินในทำเลชั้นดีจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป เพราะมีแปลงที่ดินที่เหมาะสมในการพัฒนาเหลือไม่มากนัก ทั้งนี้ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ได้เริ่มทำการตลาดให้กับที่ดินบริเวณสมาคมฝรั่งเศส ซึ่งมีเนื้อที่ 3 ไร่ 89 ตารางวา มีหน้ากว้างติดกับถนนสาทรใต้มากกว่า 80 เมตร และจะทำการซื้อขายโดยวิธีการยื่นซองประมูล โดยที่รัฐบาลฝรั่งเศสจะยังคงสามารถใช้พื้นที่ในบริเวณดังกล่าวต่อไปได้อีก 1 ปีหลังจากทำการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อให้มีเวลาเพียงพอที่จะย้ายไปยังที่ทำการใหม่ ซึ่งซีบี ริชาร์ด เอลลิสคาดว่า จะมีผู้ให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นทำเลที่เหมาะสมในการพัฒนาทั้งโครงการที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์

ที่มา :  http://www.taladbaanteedin.com/blog/?p=282

การซื้อ ขาย และเช่า อสังหาริมทรัพย์

ทางเลือกในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีหลายช่องทางสำหรับประชาชนทั่วไป นักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ถูกจำแนกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือนักลงทุนระยะสั้น และระยะยาว โดยส่วนมากนั้นมักเกิดขึ้นจากอุปนิสัยและความสามารถในการรับความเสี่ยงของการลงทุน โดยทั่วไปนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทระยะสั้น จะเน้นการทำกำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของทรัพย์สินภายในหนึ่งปีหรือน้อยกว่า ในขณะที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทระยะยาว จะถือครองทรัพย์สินในระยะที่ยาวกว่า

การซื้อห้องชุดคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เป็นที่นิยมมากสำหรับนักลงทุนทั้งสองประเภท นักลงทุนระยะยาวซื้อทรัพย์สินที่ดี หาผู้เช่าโดยคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนจากรายได้ที่เกิดจากการเช่า ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5-8 เปอร์เซ็นต์ต่อปี นักลงทุนระยะสั้น หรืออาจเรียกว่านักเก็งกำไร มองถึงผลตอบแทนจากมูลค่าเพิ่มของอสังหาริมทรัพย์ มากกว่าผลตอบแทนจากการเช่า อย่างไรก็ดีนักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการลงทุน โดยการผสมผสานระหว่างแนวทางการลงทุนทั้งสองแบบโดยพิจารณาจากสถานการณ์ของตลาดในขณะนั้น

อัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่าห้องชุดคอนโดมิเนียมในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากจากราคาเฉลี่ย 60,000 เป็น 110,000 บาท ต่อตารางเมตร ในระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา (ปี2000-2010) โดยมีอัตราการเพิ่มเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18.3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี อย่างไรก็ดีอัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ในสภาวะตลาดปรกติ จะอยู่ที่ 3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี สำหรับนักลงทุนระยะสั้น จากการศึกษาพบว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ จากราคาจองในวันแรกที่เปิดการขาย นับถึงวันที่เสร็จสิ้นการก่อสร้างพร้อมส่งมอบ

การลงทุนในรูปแบบของการเก็งกำไรในระยะสั้นมีความเสี่ยงสูง ถ้าผู้ลงทุนไม่มีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถขายห้องชุดที่เก็งกำไรออกไปได้ก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ ในขณะที่ความเสี่ยงของการลงทุนในระยะยาวคือความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว ธรรมชาติของการขึ้นและลงของวงจรตลาด จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราเช่า และอัตราการเข้าอยู่อาศัย ดังนั้น นักลงทุนจึงควรต้องพิจารณาโครงการที่มีศักยภาพในการลงทุนสูง โดยพิจารณาจากศักยภาพของทำเล คุณภาพผลิตภัณฑ์ และความน่าเชื่อถือ และความรับผิดชอบของผู้พัฒนาโครงการ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลตอบแทนในการลงทุนในระยะสั้นและยาว


    


ที่มา : http://www.fragrantgroup.com/th/index.php?option=com_content&view=article&id=11:property-sales-a-rentals&catid=31:property-guide&Itemid=40
ภาระภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์
บุคคลธรรมดา ภาษีที่ต้องเสียได้แก่

        1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย
        2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
        3. อากรแสตมป์

นิติบุคคล ภาษีที่ต้องเสียได้แก่

        1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล หัก ณ ที่จ่าย
        2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
        3. อากรแสตมป์

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์

        มาตรา 41 ทวิ ในกรณีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทน
        มาตรา 48 (4)  ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม..
        มาตรา 49 ทวิ กรณีการกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์...
        มาตรา 50 (5)  ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) เฉพาะที่จ่ายให้แก่ผู้รับ...
        พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 165  ค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน...
        กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ 2 (17) (18) และ (62)
        ป. 100/2543  ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ กรณีขายโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิ...
        ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ฉบับที่ 125 ...

    ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการขายอสังหาริมทรัพย์

        มาตรา 69 ตรี ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน...

    ภาษีเงินได้ธุรกิจเฉพาะจากการขายอสังหาริมทรัพย์

        มาตรา 91/1 (4) มาตรา 91/1 คำนิยาม รายรับ มูลค่า ราคาตลาด ขาย
        มาตรา 91/2 (6) กิจการที่ต้องเสียภาษีธุระกิจเฉพาะ
        พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 342  หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข...
        ป. 82/2542  การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร...
        พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 472  ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากอัตราร้อยละ 3 เป็นอัตราร้อยละ 0.1...
        พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 488  ขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากอัตราร้อยละ 3 ...

    อากรแสตมป์

        บัญชีอากรแสตมป์ ตราสารที่ 28 (ข)
การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
ในทางภาษีอากรโดยเฉพาะกรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ออกเป็น 2 กรณี คือ

1.  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไร ได้แก่ กรณีที่ได้อสังหาริมทรัพย์มาโดยการซื้อ แลกเปลี่ยน หรือทำการปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์ และผู้ที่ได้มามีเจตต์จำนงหรือ มุ่งที่จะค้าหรือหากำไรจากอสังหาริมทรัพย์ มาเพื่อการจัดสรรจำหน่าย การปลูกสร้างอาคาร โรงเรือน อาคารชุด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารโรงงาน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดเพื่อจำหน่าย เป็นต้น

2.  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ได้แก่ กรณีได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยมิได้มีเจตจำนงแต่แรกว่าจะค้าหรือหากำไร จากอสังหาริมทรัพย์นั้น แบ่งเป็น

    2.1. อสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับมาโดยทางมรดก หรือได้รับจากการให้โดยเสน่หา

    2.2. อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางค้าหรือหากำไรโดยทางอื่นใด นอกจากกรณีรับมรดกหรือการรับให้โดยเสน่หา เช่นการซื้อ หรือแลกเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์มาเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรือเพื่อทำการเกษตรกรรม หรือเพื่อใช้เป็นสถานประกอบการหรือใช้ในการประกอบกิจการ หรือได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นต้น